ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพเท้า
การเดินเป็นการบริหารที่ดีที่สุดสำหรับเท้า
ถุงเท้า ควรจะมีขนาดที่พอดี ใส่แล้วไม่มีรอยย่น และ ควรเป็นแบบที่ไม่มีตะเข็บ หรือ รอยเย็บ
ทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำอุ่นและใช้สบู่อ่อน ๆ อาจจะผสม moisturizer ลงไปด้วยหรือใช้ moisturizer หลังจากทำความสะอาดเสร็จแล้ว
ตัดเล็บเท้าเป็นแนวตรง
คอยสังเกตเท้า ทุก ๆ วัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีสีแดงขึ้น บวม ผิวหนังแห้งแตก หรือ รอยฟกช้ำ ควรปรึกษาแพทย์
รองเท้าสำหรับเด็ก
เด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าจนกว่าจะเริ่มเดิน ซึ่งทั่วไปก็ประมาณอายุ 12 ถึง 15 เดือน
ในช่วงที่ยังไม่เดิน การสวมถุงเท้าอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะช่วยให้ความอบอุ่นแก่เท้าหรือปกป้องเท้าไม่ไห้ได้รับอันตรายขณะคลาน
เมื่อเด็กเริ่มยืนหรือเดิน รองเท้าจะเป็นสิ่งจำเป็นและดีที่สุดในการป้องกันอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นกับเท้า การสวมถุงเท้าจะช่วยลดอาการระคายเคืองจากการที่เท้าสัมผัสกับรองเท้าโดยตรง
สำหรับเด็กวัยหัดเดิน ควรให้เด็กได้เดินด้วยเท้าเปล่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะการเดินด้วยเท้าเปล่าจะทรงตัวได้ง่าย แต่หากพาออกไปนอกบ้าน ก็ควรที่จะให้มีรองเท้าเพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งต่างๆ
ข้อแนะนำในการเลือกรองเท้าเด็ก
หัวรองเท้า ควรยาวกว่านิ้วเท้าของเด็กอย่างน้อยครึ่งนิ้ว บริเวณส่วนหัวของรองเท้าควรมีพื้นที่เหลือพอที่ จะให้นิ้วเท้าขยับได้ และเผื่อไว้สำหรับเท้าที่จะเจริญเติบโตขึ้นอีก (เท้าจะยาวขึ้นประมาณ ครึ่งนิ้วฟุตใน 3 - 6 เดือน)
พื้นรองเท้า ควรมีความยืดหยุ่นดี น้ำหนักเบา และไม่ลื่น พื้นรองเท้าควรจะเรียบกว้างและแข็งแรง ซึ่งเมื่อเด็กสวมรองเท้า และเขย่ง รองเท้าจะโค้งตามรูปเท้า พื้นรองเท้าด้านใน ควรบางแต่นุ่มนวล และยืดหยุ่นได้ดีไม่แข็งกระด้าง ถ้าพื้นผิวด้านในอ่อนนิ่มหรือฟูหนาจนเกินไป จะทำให้นิ้วเท้าของเด็กจมลงไปมาก ทำให้เด็กเดินลำบากขึ้น
สายคาด ควรเป็นแบบที่ สามารถเลื่อนเข้าเลื่อนออกให้กระชับพอดี กับขนาดเท้าได้ง่าย
รองเท้าหัวป้านจะช่วยให้นิ้วเท้าไม่ถูกบีบ และจะไม่เจ็บเท้าเมื่อต้องใส่รองเท้าเป็นเวลานาน
คุณภาพของฝีมือในการตัดเย็บ จะต้องประณีต ตะเข็บต้องไม่หนา และไม่กดรัดนิ้วเท้า ควรหลีกเลี่ยง รองเท้าที่เป็นพลาสติก เพราะพลาสติกจะไม่ปรับรูปร่างให้เข้ากับเท้า
ควรเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ให้กับลูกเมื่อเห็นว่ารองเท้านั้นคับเกินไป โดยอาจสังเกตจากขณะยืนสวมรองเท้า นิ้วเท้าแตะโดนด้านในของหัวรองเท้า มีรอยกดของรองเท้า ทำให้เท้าบวมหรือแดงเป็นรอย
เครดิตบทความจาก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=09-06-2008&group=4&gblog=41
ขอบพระคุณมากคะ
|